ภูมิแพ้

มีความเป็นไปได้ว่าอัตราเด็กป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ อาจเป็นเพราะเด็กอยู่ท่ามกลางอาหารขยะก็เป็นได้ โดยมีงานวิจัยชี้ว่า เด็กวัยรุ่นที่รับประทานอาหารขยะ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ส่วนเด็กที่รับประทานอาหารฟาสต์ฟูดเป็นประจำนั้น พบว่า เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ผิวหนัง และโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจขั้นรุนแรงได้เช่นกัน

ครอบครัวไหนพาลูกเข้าร้านฟาสต์ฟูดเป็นประจำพึงระวังได้แล้วค่ะ เพราะมีการสำรวจพบว่า ปัญหาสุขภาพที่เด็กยุคใหม่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้อย่างโรคภูมิแพ้นั้น แท้จริงแล้วอาจมีต้นตอมาจากอาหารที่เด็กๆ ได้รับประทานเข้าไปนั่นเอง โดยอาการผื่นคันที่เกิดขึ้นตามผิวหนัง อาการหายใจไม่สะดวก และอาการอื่นๆ อันเกิดจากโรคภูมิแพ้นั้น มีโอกาสเกิดขึ้นกับเด็กที่รับประทานอาหารฟาสต์ฟูดมากกว่าเด็กที่รับประทานอาหารปกติ ยิ่งเด็กคนใดต้องบริโภคอาหารฟาสต์ฟูดบ่อยๆ อาการของโรคภูมิแพ้ก็มีโอกาสรุนแรงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

คำว่ารับประทานอาหารฟาสต์ฟูดบ่อยๆ นั้น อาจทำให้หลายคนสงสัยว่าบ่อยแค่ไหนจึงจะมากเกินไป

งานวิจัยชิ้นนี้เผยว่าแค่ 3 มื้อต่อหนึ่งสัปดาห์ ก็เพิ่มความเสี่ยงให้กับสุขภาพของลูกๆ ได้แล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญได้ทำการศึกษาถึงการบริโภคอาหารของเด็กๆ ในประเทศต่างๆ มากกว่า 100 ประเทศ และสันนิษฐานว่า การบริโภคอาหารฟาสต์ฟูด อันเป็นวัฒนธรรมของโลกตะวันตกนั้นอาจมีส่วนสนับสนุนให้ผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้เพิ่มจำนวนขึ้น

สำหรับปัญหาโรคภูมิแพ้นั้น ในหลายประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกตะวันตก เช่น สหราชอาณาจักร พบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ ปัจจุบันมีเด็กอังกฤษมากถึง 1.4 ล้านคนป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ ขณะที่การบริโภคผักผลไม้เพื่อให้ได้วิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายในเด็กนั้นก็ลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด

นักวิจัยพบว่า เด็กวัยรุ่นที่รับประทานอาหารฟาสต์ฟูด เช่น เบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด พิซซ่า มากกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้งเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรงถึง 39 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเด็กที่รับประทานอาหารปรุงสุกตามปกติ ส่วนคนที่รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำนั้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ผิวหนัง และภูมิแพ้ทางเดินหายใจขั้นรุนแรงในระดับสูง

ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดอาจทำให้ผู้บริโภคคิดว่าช่วงเวลาแห่งการรับประทานอาหารฟาสต์ฟูดเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข แต่ใครที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้อยู่คงทราบดีว่า เวลาอาการกำเริบนั้นทรมานเพียงใด และจะยิ่งน่าสงสารแค่ไหนหากผู้ป่วยเป็นเด็กตัวเล็กๆ การลด ละ เลิก การบริโภคอาหารขยะเหล่านี้ จึงอาจเป็นทางเลือกดีๆ ที่คุณสามารถเลือกให้กับครอบครัวได้ค่ะ

เสริมจมูก

เสริมจมูกเป็นการตกแต่งโครงสร้างของจมูกให้ดูสูงขึ้น ทำให้โครงสร้างจมูกมีรูปร่างที่สวยงามขึ้น การผ่าตัดเสริมจมูกมีทำกันมานานหลายสิบปีแล้ว คนที่มีโครงสร้างของจมูกแบนทั้งผู้ชายและหญิงสาวสามารถรับการผ่าตัดเสริมจมูกได้ ควรจะมีอายุอย่างน้อย 16 ปี ขึ้นไป

วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีหลายชนิด จำแนกง่าย ๆ คือ

1. จากร่างกายของผู้รับการผ่าตัด (Autograft) เช่น กระดูก กระดูกอ่อน ฯลฯ วิธีนี้ส่วนใหญ่จะใช้เสริมจมูกคนไข้ที่มีจมูกผิดรูป เนื่องจากอุบัติเหตุหรือแก้ไขความพิการจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น เนื้องอก ความพิการแต่กำเนิด เป็นต้น และไม่เหมาะสำหรับการผ่าตัดเสริมจมูกเพื่อความงามสำหรับบุคคลทั่ว ๆ ไป
2. วัสดุสังเคราะห์ (Synthetic prothesis) เช่น ซิลิโคนแท่ง (Silicone) ที่ใช้ในวงการแพทย์ (Medical grade) เพราะจะมีปฏิกิริยาต่อร่างกายมนุษย์น้อยมาก ซึ่งทำให้ร่างกายสามารถรับและห่อหุ้มแท่งซิลิโคนให้ยึดอยู่กับเนื้อเยื่อได้ดี ยังมีวัสดุอีกหลายชนิดที่มีการนำมาเสริมจมูก แต่ปัจจุบันนี้วัสดุทั้ง 2 อย่างนี้ยังเป็นที่ใช้กันแพร่หลายมาก

ส่วนมากแพทย์จะเลือกใช้ซิลิโคนแท่งในการผ่าตัดเสริมจมูก ทีนี้ถ้าคุณต้องการที่จะเสริมจมูกให้โด่งสวย คุณต้องปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน และพึงทราบว่า การผ่าตัดเสริมจมูกนั้นมีความสำคัญมาก เพราะจมูกเป็นโครงสร้างที่อยู่บนส่วนกลางของใบหน้า ดังนั้นควรพิจารณาควบคู่ไปกับโครงสร้างอื่น ๆ เช่น คิ้ว หน้าผาก ตา แก้ม และริมฝีปากด้วย ซึ่งโครงสร้างอื่น ๆ จะมีส่วนในการกำหนดความสูง ความกว้างของตัวจมูก และปลายจมูกด้วย

ความอ้วนเป็นสิ่งที่สาว ๆ หรือคนทั่วไปกลัวไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง และมีหลาย ๆ คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักตัวเองให้มีรูปร่างดี มีหุ่นกระชับได้สัดส่วน พร้อม ๆ ไปกับสุขภาพที่ดีด้วย

ลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนด้วยตนเอง
โดยเฉพาะสาว ๆ บางคนที่อ้วนและต้องการลดน้ำหนักเพื่อความกระฉับกระเฉงใหักับตนเอง และอยากใส่เสื้อผ้าที่ไปเล็งมา เป็นเพราะหุ่นไม่ได้แต่อยากใส่ ถึงได้มีการกระตุ้นที่ต้องการลดความอ้วนอย่างเร่งด่วนเพราะเวลามีไม่มากนัก ด้วยวิธีหลากหลายวิธีที่ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นฉีดยาสลายไขมัน หรือยาลดความอ้วน หรืออีกหลากหลายวิธีที่สามารถทำได้ บางท่านสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 5-7 กิโลกรัมต่อหนึ่งเดือน หรือมีสูงสุดอยู่ที่ 20 กิโลกรัมต่อหนึ่งเดือน ซึ่งถามว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพไหมไม่ดีแน่เพราะเหมือนบังคับร่างกายมากเกินไป ถ้าร่างกายซุบผอมเร็วเกินไปก็ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่นอน บางท่านถึงกับไปฝังเข็ม กินยา ทำศัลยกรรม

เพื่อให้ได้รูปร่างที่ดีแต่สุดท้ายแล้ว ถ้าคุณไม่เปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร ไม่เลือกรับประทานที่มีประโยชน์และแคลอรี่ต่ำ ก็คงควบคุมน้ำหนักได้ไม่นานอย่างแน่นอนเหมือนกับที่เค้ารับประทานยาลดน้ำหนักแล้วโฆษณาบอกว่า ไม่มีโยโย่เอฟเฟค  แต่ถ้าคุณยอมที่จะปฏิบัติและปรับเปลี่ยนนิสัยในการบริโภค หรือ ไม่ตามใจปากมากจนเกินความจำเป็น ไม่ว่าคุณจะลดความอ้วนแบบเร่งด่วนหรือไม่ ความอ้วนก็จะไม่กลับมาหาคุณอีกอย่างแน่นอน

5 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน
1. ดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนจะรับประทานอาหารในแต่ละมื้อจะช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้น
2. ลดปริมาณในการกินอาหารมื้อเย็นลง โดยเน้นกินสลัดผัก ผลไม้มากขึ้นแทนอาหารที่มีแต่คาร์โบไฮเดรตจะช่วยให้ผอมลงได้
3. กาเฟอีนจะช่วยเรื่องระบบการเผาพลาญพลังงาน และกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ทำให้ร่างกายทำงานเร็วขึ้น แต่ห้ามทานรสหวานเด็ดขาด
4. เน้นรับประทานแต่ผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพราะผลไม้บางชนิดให้แคลอรี่ต่ำไม่ทำให้อ้วน และยังช่วยเผาผลาญไขมันทำให้น้ำหนักตัวของทุก คนลดลงได้เร็วตามใจต้องการ (เฉพาะบางคน) แถมยังช่วยในระบบข้บถ่ายให้ดียิ่งขึ้นด้วย
5. การออกกำลังกาย คุณทุกคนควรจะออกกำลังกายสม่ำเสมอเพราะจะทำให้ สุขภาพดีและช่วยเผาผลาญไขมันและละลายไขมันไปด้วยพร้อม ๆ กันอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง